วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตำนานพระเจ้าตาก ตอนที่ ๑


ตำนานพระเจ้าตาก ตอนที่ ๑
(บทสนทนาระหว่างมหาเถระสามรูป)
"พระภิกษุเจ้าตาก, หลวงปู่เทพโลกอุดร, หลวงพ่อจรัญ"

  • เวลาสองยามตรงที่โบสถ์วัดป่ามะม่วง (ไม่แน่ใจว่าคือวัดอัมพวันหรือเปล่า?) ประเดี๋ยวหนึ่งมีแสงสว่างไสวไปทั่ววัด 
  • พระภิกษุสามองค์ เดินเรียงเข้ามาที่ประตูโบสถ์ ซึงพระครูจรัญเจ้าอาวาส ยืนรออยู่ตรงทางเข้าโบสถ์ อาการที่เดินของภิกษุทั้ง 3 รูป ผิดแผกไปจากคนธรรมดา คือเลื่อนไหลไปข้างหน้ามากกว่าก้าวขาเดิน แสงสว่างไสวเป็นรัศมีของทวยเทพ แต่งองค์ทรงเครื่องงดงาม ต่างมารายล้อม
  • พระภิกษุเจ้าตาก :ประวัติศาสตร์กรุงธน ผิดเพี้ยนไปจากความจริงมากไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้นอกจากเรากับสหายร่วมสาบาน (ร. ๑) (ทรงอนุญาตให้ท่านพระครูใช้ศัพท์สามัญกับพระองค์ ด้วยเหตุผลที่ว่า “...ท่านอย่าลืมว่าขณะนี้เราเป็นใคร ท่านเป็นใครเราทั้งสองมีความเท่าเทียมกันในทางธรรม มีอาจารย์องค์เดียวกัน ตัดความหลงในสงสารได้เหมือนกัน ถ้าท่านคิดว่าเราเป็นกษัตริย์และพูดกับเราด้วยคำราชาศัพท์ เราก็ต้องพูดคำราชาศัพท์กับท่านด้วยเช่นกัน เพราะในเจ็ดชาติที่ท่านระลึกได้นั้น ท่านก็เคยเป็นกษัตริย์มิใช่หรือ.... แล้วทำไมจะมาติดอยู่กับสิ่งสมมติ” )
  • พระภิกษุเจ้าตาก : เราไม่อยากให้มีการเข้าใจราชวงศ์จักรีผิดๆ ทุกวันนี้มีคนจีนจำนวนมากที่ยังเชื่อว่าเราถูกสำเร็จโทษ โดยสหายร่วมสาบานของเราเป็นผู้บงการ  (จริงๆแล้ว) มีการสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์จริง เพียงแต่คนที่ถูกสำเร็จโทษเป็นสหายอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีความจงรักภักดีต่อเราถึงขนาดยอมสละชีวิตของตัวเอง เพื่อรักษาชีวิตเราไว้ บังเอิญว่าเขารูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเรามาก ทั้งที่มิได้เป็นญาติสืบสาโลหิตกัน
  • พระครูจรัญ : เหตุใดท่านจึงถูกสำเร็จโทษ ที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ท่านสัญญาวิปลาสก็ต้องไม่จริง เพราะถ้าจริงท่านจะตัดความหลงใน (วัฏ) สงสารไม่ได้ ผู้ขาดสติมิอาจบรรลุธรรมได้
  • พระภิกษุเจ้าตาก : คนที่เคยทำอะไรอย่างหนึ่งเป็นปกตินิสัย แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปทำในสิ่งตรงกันข้าม คนเขาก็ต้องคิดว่าคนๆ นั้นผิดปกติใช่ไหม เหมือนอย่างเรา เราเคยถือดาบออกรบป้องกันบ้านเมือง กู้อิสรภาพให้กับชาติไทย ใครๆ ก็เห็นเราเป็นนักรบผู้เก่งกาจสามารถ เป็นวีรบุรุษ แล้วอยู่ๆเราก็วางดาบ ไม่จับดาบอีกเลย เอาแต่เจริญวิปัสสนาถ่ายเดียว คนเขาก็เลยว่าเราบ้า
  • พระภิกษุเจ้าตาก : เพราะอาจารย์ที่เคารพของพวกเราน่ะสิ (หลวงปู่เทพโลกอุดร) วันหนึ่งเราตั้งค่ายอยู่ที่ในป่า ตกดึกมีพระรูปหนึ่งเข้ามาถึงตัวเรา เราก็ถามท่านว่าเข้ามาได้อย่างไร เพราะนั่นย่อมหมายถึงความปลอดภัยของตัวเรา เกิดผู้ที่เข้ามาเป็นข้าศึก เราก็อาจจะถูกฆ่าตาย 
  • พระรูปนั้นตอบว่าเดินเข้ามา เราก็ถามอีกว่าทหารยามไม่เห็นท่านหรือ ท่านก็ตอบว่าไม่ทราบ เราก็คิดว่าจะต้องลงโทษทหารผู้ทำหน้าที่เป็นเวรยาม 
  • ท่านก็พูดขึ้นมาว่าไม่ต้องคิดแต่จะเพ่งโทษผู้อื่น ขอให้สำรวจตัวเองเพ่งโทษตัวเองดีกว่า เราก็รู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมท่านจึงพูดอย่างนี้ อยากจะโกรธแต่ก็ไม่กล้า 
  • แล้วท่านก็พูดให้เราสะเทือนใจว่า “มหาบพิตรฆ่าคนมามากมีมือเปื้อนเลือด บาปมาก ตายไปจะต้องตกนรก” 
  • หากเป็นคนธรรมดาพูดเช่นนี้ เราคงสั่งตัดหัวไปแล้ว แต่นี่เป็นพระพูด เราไม่กล้าแม้แต่จะคิด เราก็เรียนท่านว่าเราเป็นกษัตริย์ มีหน้าที่ทำสงครามปกป้องแผ่นดิน 
  • ท่านก็พูดว่า “บัดนี้มหาบพิตร ก็ได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว การกู้ชาติเป็นหน้าที่ของมหาบพิตร แต่การทำสงครามปกป้องประเทศชาติ มหาบพิตรควรยกให้ผู้อื่น มีคนที่เขาสามารถทำหน้าที่แทนมหาบพิตรได้จงอย่าจับดาบอีกเลย อาตมาขอบิณฑบาตดาบจากมหาบพิตร” 
  • เราก็ถามท่านว่าเราจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ท่านก็ตอบว่า “เพื่อตัดความหลงใน(วัฏ)สงสาร หากมหาบพิตรครองราชสมบัติต่อไปก็จะไม่สามารถตัดความหลงใน (วัฏ) สงสารได้ ซึ่งหมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจกิเลส กรรม และวิบาก หากมหาบพิตรไม่ตัดความหลงในสงสาร ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดวกวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น อาตมารู้ว่ามหาบพิตรสามารถตัดความหลงในสงสารได้ จึงมาหา”
  • หลวงปู่เทพโลกอุดร : เราได้ให้กรรมฐาน (ทำอย่างไร?? สอนวิธีปฏิบัติหรืออย่างไร) แก่พระยาตากเมื่อรับกรรมฐานจากเราแล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ยอมจับดาบอีกไม่ยอมออกศึกสงคราม เอาแต่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานคนที่ไม่เข้าใจก็เลยพากันคิดว่าเขาบ้า
  • พระครูจรัญ :เพราะอะไรประวัติศาสตร์ในกรุงธนบุรี จึงถูกบันทึกให้ผิดไปจากความเป็นจริงมากอย่างนั้นขอรับ
  • พระภิกษุเจ้าตาก : เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติน่ะสิ รู้ไหมว่าเราเป็นกษัตริย์ที่อาภัพที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย 
  • ตอนเราขึ้นครองราชย์ เงินในท้องพระคลังไม่มีเลย เราต้องเป็นหนี้ชาวจีนถึงหกหมื่นตำลึง ซึ่งถ้าคิดเป็นเงินสมัยนี้ (๒๕๒๘) ก็เท่ากับ ๒๔๐,๐๐๐ บาท 
  • สมัยก่อนเงินหมื่นตำลึงมีค่ามาก ถ้าเขาจะให้เราผ่อนใช้ เราก็พอจะหามาผ่อนให้ได้ แต่นี่เขาคิดจะยึดประเทศเราไปเป็นของเขา เขาจึงเร่งรัดจะเอาเงินจำนวนนี้ให้ได้ เรากับสหายร่วมสาบานก็เลยต้องช่วยกันคิดว่าจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร 
  • แล้วเราก็คิดออกว่า การผลัดแผ่นดินเป็นการล้างหนี้ที่ดีที่สุด ท่านอย่าคิดว่าเราตั้งใจจะโกง แต่ในเมื่อเขาคิดไม่ดีกับเรา เราจึงต้องใช้เล่ห์กลกับเขา 
  • อีกประการหนึ่ง ตั้งแต่เรารับกรรมฐานจากหลวงพ่อในป่า เราก็ไม่มีแก่ใจจะครองราชย์อีกต่อไปแล้ว เราอยากตัดความหลงในสงสารให้เด็ดขาด 
  • เราสมเพชตนเองที่เป็นกษัตริย์ยากจนเข็ญใจ เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ไม่มีเบญจราชกกุธภัณฑ์ (เครื่องแสดงความเป็นกษัตริย์ ๕ สิ่ง) พระยามหานุภาพจึงเขียนสดุดีเราไว้ในนิราศกวางตุ้ง
  • พระครูจรัญ :ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าท่านเป็นลูกคนจีน บิดาชื่อนายไหฮอง มารดาชื่อนางนกเอี้ยง กระผมสงสัยว่าจะไม่ตรงความจริงขอรับ
  • พระภิกษุเจ้าตาก :เรื่องนี้ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน นอกจากเรากับโยมมารดา แม้แต่โยมบิดา (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ก็ไม่รู้ 
  • ประวัติของเรา คล้ายคลึงกับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ตรงที่โยมแม่ของเราตั้งครรภ์ โดยที่โยมพ่อไม่ทราบ โยมมารดาของเราเป็นสนมลับๆ ของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กษัตริย์องค์ที่ ๓๑ แห่งกรุงศรีอยุธยา 
  • ทั้งพระเจ้าอุทุมพรและพระเจ้าเอกทัศน์ ก็ไม่ทรงทราบว่าเราเป็นโอรส ในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่เกิดจากสนมลับชาวจีนที่ชื่อ “ไหฮอง” 
  • ซึ่งประวัติศาสตร์ บันทึกว่าเป็นชื่อบิดาของเรา ความจริงไหฮองเป็นชื่อของโยมมารดา ส่วน “นางนกเอี้ยง” ไม่มีตัวตน 
  • การที่โยมมารดาไม่ได้กราบทูลโยมบิดาให้ทรงทราบ เนื่องจากเกรงจะเป็นอันตรายแก่เรา เมื่อคลอดเราแล้ว ท่านก็ได้สามีใหม่เป็นคนจีน และมีลูกสาวคือน้องสาวของเรา 
  • สมัยนั้นผู้หญิงต้องพึ่งสามี คือต้องมีสามีหาเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่เคยอยู่ในรั้วในวัง เช่นมารดาเราเมื่ออกมาใช้ชีวิตแบบสามัญชน ก็ทำไร่ไถนาไม่เป็น ต้องพึ่งสามีไม่เหมือนผู้หญิงสมัยนี้ ที่พึ่งตัวเองได้
  • เรื่องของเราก็เหมือนลิเกนะ โยมมารดาได้สร้างเรื่องขึ้นว่า เราเป็นลูกคนจีน บิดาชื่อนายไหฮองมารดาชื่อนางนกเอี้ยง 
  • และเรื่องที่สร้างขึ้นนี้ก็ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ที่โยมมารดาทำเช่นนี้ก็เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของเรา เราไม่คิดว่าเป็นความผิดแต่ประการใด 
  • และเราก็ไม่ตำหนินักประวัติศาสตร์ ที่บันทึกเรื่องราวอันเป็นความเท็จ เพราะเขาบันทึกตามข้อมูล เพียงแต่ข้อมูลนั้นถูกบิดเบือน เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ ซึ่งนักประวัติศาสตร์เองก็ไม่รู้ เราจึงพูดว่า “ไม่มีประวัติศาสตร์ของชาติไหนที่จะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงทุกอย่าง”
  • พระครูจรัญ :ท่านจะกรุณาเล่าเหตุการณ์ตอนที่ท่านกู้เอกราชให้ฟังได้ไหมขอรับ กระผมอยากทราบว่าตรงกับ ประวัติศาสตร์ มากน้อยเพียงใด
  • พระภิกษุเจ้าตาก :ประวัติศาสตร์บันทึกเหตุการณ์ตอนเรากู้ชาติตรงกับความจริง เพียงแต่มีบางเรื่องไม่ได้บันทึกเอาไว้ 
  • อย่างเรื่องที่เราตีเมืองจันทบุรี เราได้พามารดาและน้องสาวไปไว้ที่ราชบุรีก่อน จากนั้นจึงมุ่งหน้าตีจันทบุรี ประวัติศาสตร์บันทึกไว้แต่เพียงว่า เราสั่งทหารทุบหม้อข้าวหม้อแกงทิ้ง ความจริงเราทำมากกว่านั้น คือหลังจากตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว เรามาพิจารณาว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาสาหัสและยืดยาว 
  • จึงให้สร้าง “พระยอดธงแบบกรุงศรีอยุธยา” ขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุง-มหากาบรรจุไว้ในองค์พระ (พระยอดธงคือพระพุทธรูปองค์เล็กๆที่สร้างไว้บนยอดธงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้รบชนะข้าศึก
  • เราเองก็เจริญรอยตามสงเด็จพระนเรศวร ด้วยการเจริญพาหุง-มหากา (แต่งโดยพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว พระอาจารย์ขององค์นเรศวร) หรือบทถวายพรพระในปัจจุบันเป็นบทที่มีอานุภาพมาก
  • พระครูจรัญ :แล้วสหายของท่านกับน้องชายไปช่วยตีจันทบุรีด้วยหรือเปล่าครับ
  • พระภิกษุเจ้าตาก : ยังไม่ได้ไป เพราะตอนนั้นบ้านเมืองกำลังระส่ำระส่ายไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ก่อนตีจันทบุรี เราไปตั้งทัพที่ระยอง ได้แอบซ่องสุมผู้คนและอาวุธที่ถ้ำแห่งหนึ่ง (วัดถ้ำวัฒนมงคล กิ่งอำเภอเขาชะเมา) ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์หลงเหลืออยู่ในถ้ำนี้ (ปี ๒๕๒๘) 
  • เมื่อเราตีจันทบุรีและตั้งทัพที่นั่น สหายของเรากับน้องชายก็มาสมทบ ที่เราประทับใจและรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณสองพี่น้องมากก็คือ เขาไปรับมารดาและน้องสาวเราจากราชบุรีมาด้วย จากนั้นเราก็วางแผนตีก๊กเจ้าพระฝาง
  • พระบัวเฮียว : กระผมอยากฟังเจ้าตากเล่าเรื่องการกู้ชาติครับ
  • พระภิกษุเจ้าตาก : หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชให้แก่พม่าเมื่อปี ๒๓๑๐ บ้านเมืองระส่ำระสายมาก พม่าเผาผลาญถล่มทลายกรุงศรีฯ เสียย่อยยับ วัดวาอารามถูกทำลายยับเยิน 
  • พระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองมีความสูงถึง ๘ วา หุ้มด้วยทองคำหนักสองหมื่นบาทก็ถูกพม่าใช้ไฟลน เผาลอกเอาทองคำขนกลับไปเมืองตน 
  • ประชุมพงศาวดารภาค ๖ได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ ตอนเสียกรุงไว้ว่า พม่าเข้ากรุงได้เป็นเวลากลางคืน พม่าไปถึงไหนก็เอาไฟจุดเผาบ้านเรือนของชาวเมือง 
  • ปราสาทราชมณเฑียรไฟไหม้ลุกลามสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดต่อสู้ ก็เที่ยวเก็บรวบรวมทรัพย์สิน จับผู้คน อลหม่านไปทั่วพระนคร 
  • แต่เป็นเพราะเป็นเวลากลางคืน พวกชาวเมืองจึงหนีรอดไปได้มาก พม่าจับได้สัก ๑๐,๐๐๐ คน ส่วนพระเจ้าเอกทัศน์นั้น มหาดเล็กพาลงเรือน้อยหนีไปซุ่มซ่อนอยู่ที่บ้านจิก ริมวัดสังฆาวาส แต่พม่ายังหารู้ไม่ 
  • จับไม่ได้แต่พระเจ้าอุทุมพร ซึ่งทรงผนวช กับทั้งเจ้านายข้าราชการใหญ่น้อยจำนวนมาก และพระที่หนีไม่พ้น พม่าจับไปไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ผู้คนแบ่งแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า มีก๊กที่สำคัญอยู่ถึง ๖ ก๊กด้วยกัน 
  • ก๊กที่ร้ายกาจที่สุดคือก๊กเจ้าพระฝาง ซึ่งมีหัวหน้าเป็นพระภิกษุ แต่เสพสุรา ฆ่าคน และทำลามกอนาจารต่างๆ 
  • เจ้าฝางในเครื่องแต่งกายของบรรพชิต คุมกองทัพสงฆ์ออกจี้ปล้นทรัพย์สินของราษฎร ทำให้เสียภาพลักษณ์ของพระศาสนาอย่างร้ายแรง
  • เมื่อเราปราบก๊กสำคัญ ๔ ก๊กได้แล้วจึงยกกองทัพไปตีก๊กเจ้าพระฝาง ซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่พิษณุโลกกองทัพของเราตีเมืองพิษณุโลกได้ แต่เจ้าพระฝางหนีไป เป็นอันว่าก๊กทั้ง ๕พ่ายแก่ก๊กพระยาตาก 
  • เมื่อได้ชัยชนะแล้ว เราก็คิดว่าจะฟื้นฟูปฏิสังขรณ์กรุงศรีฯ แต่ก็มองไม่เห็นทางเลยว่าจะทำให้กรุงศรีฯ รุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อนได้ เราเริ่มวิตกกังวล 
  • คืนหนึ่งเราจึงแก้ปัญหาด้วยการสวดพาหุง-มหากาแผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลให้ดวงพระวิญญาณ ของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีฯ ในอดีตทุกพระองค์ และขอให้ท่านเหล่านั้นช่วยหาทางออกให้แก่เราด้วย จากนั้นเราก็หลับไป
  • เราเห็นสมเด็จพระนเรศวรกับอาจารย์ของท่าน ที่รู้เพราะพระเถระรูปนั้นท่านพูดว่า “อาตมาคืออาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวร ที่จะมาช่วยท่านแก้ปัญหากรุงศรีฯ เสียหายเกินกว่าจะปฏิสังขรณ์ได้ ทั้งพม่าก็รู้ลู่ทางโจมตี ขอท่านจงย้ายราชธานีไปอยู่ที่กรุงธนบุรี และสถาปนาตัวท่านขึ้นเป็นกษัตริย์เถิด อาตมาขอถวายพระพร” 
  • จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า “ขอต้อนรับกษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ขอพระองค์จงทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อันเป็นมรดกล้ำค่าของชาวสยาม” แล้วภาพนั้นก็หายวับไป 
  • เราตื่นขึ้นมากลางดึก จิตสัมผัสกับความสงบเย็นผิดกับคนที่ฝันร้าย ซึ่งจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวาดกลัวและเหงื่อไหลโทรมกาย เรารู้สึกเหมือนกับว่ามิได้ฝันไป เพราะภาพนั้นยังฝังแน่นอยู่ในมโนนึกมาจนบัดนี้ (องค์ดำมาหาเจ้าตากจริงหรือเปล่าคะ)
  • พระราชดำรัสในสมเด็จพระนเรศวร ทำให้เราตั้งปณิธานในบัดนั้นว่า จักทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวรสืบไป และนี่เองคือที่มาของปณิธานของเรา 
  • ที่ท่านกล่าวเมื่อครู่นี้ การสู้รบสมัยนั้นต้องการขวัญและกำลังใจ การสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีที่สุดคือการน้อมนำพระธรรมคำสอนเข้ามาไว้ในใจ พระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญต่อประเทศชาติ เมื่อใดที่พระพุทธศาสนาหมดไปจากประเทศสยาม เมื่อนั้นประเทศชาติก็คงอยู่ไม่ได้ เราจึงยังอยู่ แม้หมดความหลงในสงสารแล้ว ก็เพื่อคอยปกป้องดูแลชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ดังที่เรากล่าวไว้ว่า “คิดถึงพ่อพ่ออยู่ คู่กับเจ้า”
  • เมื่อกรุงแตกเราเป็นผู้นำทหารตีฝ่าวงล้อมพม่าจากกรุงศรีฯ มาตั้งมั่นที่กรุงธนบุรี ช่วงที่ตีฝ่าวงล้อมออกไป มีเหตุการณ์คล้ายปาฏิหาริย์เกิดขึ้น 
  • กล่าวคือทุกครั้งที่ทหารพม่าตามมาประชิดตัว ก็จะมีไฟลุกโพลงขึ้นในจุดใกล้ๆ กัน ทำให้ทหารพม่าเบนความสนใจไปที่กองไฟ เราก็เลยหนีรอดมาได้ มารู้ภายหลังว่า เพื่อนเก่าของเราตามมาช่วย 
  • เพื่อนเก่าสมัยเป็นศิษย์วัดด้วยกัน ตอนเป็นเด็กโยมมารดาพาเราไปฝากเป็นลูกศิษย์วัด เราเติบโตขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ได้ฝึกอาวุธและคาถาอาคมร่วมกับเพื่อนอีก ๔ คน (ผู้ใดทราบชื่อท่านบ้างคะ)
  • แต่ละคนมีความถนัดต่างกัน พวกเขาคอยตามช่วยเหลือเรา โดยที่เราไม่รู้ ภายหลังที่เราตกลงกับสหายของเราให้ขึ้นครองราชย์แทน และเราได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ พวกที่ไม่เข้าใจแผนการอันแยบยลนี้ เลยพากันกบฏแบ่งออกเป็นหมู่เป็นเหล่า เหมือนเหตุการณ์ก่อนกรุงแตก
  • ในที่สุดกบฏกลุ่มหนึ่งอ้างคำสั่งของสหายเราให้นำเราไปประหาร ทั้งที่เราอยู่ในเพศบรรพชิตซ้ำร้ายกว่านั้นคือเกิดกบฏซ้อนกบฏ จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร 
  • บ้านเมืองระส่ำระสายเราก็ได้เพื่อน ๔ คนนี้แหละ พาลงเรือหนีไปนครศรีธรรมราช จากนั้นเราก็ไม่ได้พบพวกเขาอีกเลย เราได้ทราบภายหลังว่า เขาไม่อยากเป็นนักรบอีก กลับไปใช้ชีวิตชาวบ้านธรรมดา หากเราไม่ได้เพื่อน ๔ คนนี้ ก็คงต้องตายอยู่ในสมณเพศ และพวกที่ฆ่าเราก็ต้องบาปสาหัสมาก
  • พระครูจรัญ : ช่วงระยะนั้นท่านตัดความหลงในสงสารได้แล้วหรือขอรับ
  • พระภิกษุเจ้าตาก : ยังแต่ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว (ได้โสดาบัน?) เรารับกรรมฐานจากหลวงพ่อในป่าได้ไม่นาน ก็เร่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนได้ดวงตาเห็นธรรม และได้เรียกสหายของเราให้มาหา
  • พระภิกษุเจ้าตาก :เราได้สั่งให้ข้าหลวง ไปตามสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาพบ ในเครื่องแบบนักรบมีดาบมาด้วย เขาคิดว่าคงจะทรงใช้ให้ไปทำสงครามกับผู้หนึ่งผู้ใด เป็นแน่
  • ครั้นมาเห็นเรานั่งอยู่ในห้องพระแต่ผู้เดียว ในชุดนุ่งขาวห่มขาว สหายของเราก็รีรออยู่ไม่กล้าเข้ามา เพราะเห็นว่าเราอยู่คนเดียว และไม่มีอาวุธข้างกายเลย เราจึงบอกว่า “ด้วงเข้ามาสิ เข้ามาหาข้า เอาดาบมาด้วย” ท่านลองคิดดู ถ้าสหายของเราคิดก่อกบฏจริงก็คงถือโอกาสตอนนี้
  • แต่เพราะเขาไม่เคยมีความคิดอย่างนี้อยู่ในใจ จึงวางดาบไว้ข้างนอกแล้วค่อยๆ คลานเข้ามาใกล้ หมอบอยู่ห่างวาหนึ่ง เราก็บอกอีกว่า “ด้วง เข้ามาใกล้ๆ เอาดาบของเจ้ามาวางไว้ข้างหน้า”
  • สหายของเราคลานไปหาดาบ แต่แทนที่จะเอามาไว้ใกล้ๆ อย่างที่เราสั่ง เขากลับกระทุ้งให้ไกลออกไปอีก แล้วจึงคลานเข้ามาใกล้ประมาณสองศอก หมอบกราบถวายความเคารพเป็นอย่างดี 
  • เราจึงถามเขาว่า “ด้วงอยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม” เราพูดเท่านี้แต่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก มีอาการตกใจนัก ถึงกับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า ก้มลงกราบ แล้วก็มิได้ตอบว่ากระไร 
  • เราก็ถามใหม่อีกว่า “ด้วง ได้ยินหรือเปล่าข้าถามว่าอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม” สหายของเราตอบว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยคิดเลยพระเจ้าข้า อยู่อย่างนี้ก็สบายแล้ว” เราจึงถามเพื่อทดสอบว่าสิ่งที่สหายของเราตอบนั้นมาจากใจจริงหรือไม่
  • “ด้วงข่าวว่าทหารพม่ามาหาเจ้าบ่อยๆรึ”
  • “มาครั้งเดียวพระเจ้าค่ะ”
  • “เขามาเรื่องอะไร”
  • “เขามาถามว่ามีความสุขสบายดีรึ ข้าพระพุทธเจ้าก็ตอบว่าสบายดี เพราะในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งให้เป็นสมเด็จเจ้าพระยา เวลานี้จึงมีความสุขมาก” 
  • เมื่อท่านตอบเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าสหายของเราไม่ได้คิดกบฏ ไม่คิดเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ดังที่คนอื่นเข้าใจผิด เมื่อเราเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เราจึงบอกเขาไปว่า  “ด้วง ข้าจะให้เจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะเอาไหม”
  • สหายของเรากราบถวายบังคมอีกครั้ง พร้อมทั้งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อ คงจะคาดไม่ถึงว่าเราจะพูดแบบนี้กับเขา
  • เหตุที่เราถามอย่างนี้ เพราะสมัยที่อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาตีพิษณุโลก เราได้ให้สหายของเรายกทัพไปรบกับอะแซหวุ่นกี้ ขุนพลเฒ่า แต่เพราะฝีมือทัดเทียมกันการรบจึงไม่มีใครแพ้ใครชนะ อะแซหวุ่นกี้ใช้อุบายพักรบหนึ่งวัน และขอดูตัวแม่ทัพครั้นเห็นสหายเรา ก็พยากรณ์ว่า “ต่อไปท่านจะได้เป็นกษัตริย์ขอจงรักษาตัวไว้ให้ดี”
  • ความจริงอะแซหวุ่นกี้ไม่ได้เป็นโหร หรือมีความรู้ทางโหราศาสตร์แต่ประการใด แต่เป็นลีลาของข้าศึกที่จะยุแยงให้ไทยฆ่ากันเอง 
  • บังเอิญคำพยากรณ์มาตรงกับความจริง โดที่อะแซหวุ่นกี้เองก็คาดไม่ถึง เรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งสมัยที่เรากับสหายของเราบวชเป็นพระภิกษุ
  • วันหนึ่งเรากับสหายของเราไปบิณฑบาตด้วยกัน ซินแสผู้หนึ่งเดินสวนทางมา เขาก็หยุดมองหน้าเรา เสร็จแล้วก็มองหน้าสหายของเรา แล้วก็กลับมามองเราอีก เราจึงถามว่า “โยมมองอะไรรึ รึว่าอาตมานุ่งห่มไม่เรียบร้อย” แกก็ยิ้ม แล้วส่ายหน้าไปมา เดินไปสักประเดี๋ยวก็เดินกลับมาอีกพูดด้วยเสียงดังลั่นว่า “อักซาจัง อักซาจังจิงๆ ในหลวงสององค์มาบิงทะบากล่วยกัง”
  • พอซินแสพูดเช่นนั้น ผู้คนก็พากันสาธุ แต่บางคนก็พูดขึ้นว่า “สงสัยตาแป๊ะนี่แกจะแก่จนหลงถึงได้พูดอะไรเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ถ้าในหลวง (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) มาได้ยินรับรองหัวขาดแน่”
  • พระครูจรัญ :ในที่สุดคำทำนายทายทักของซินแสก็กลายเป็นความจริง กระผมคิดว่าท่านน่าจะมีความรู้ทางโหราศาสตร์นะขอรับ
  • พระภิกษุเจ้าตาก :เราก็คิดอย่างท่าน แต่สำหรับอะแซหวุ่นกี้ เขามีความประสงค์จะให้เรากับสหายเป็นศัตรูกัน เพราะถ้าคนไทยรบกันเองพม่าก็จะกลืนชาติได้ง่าย 
  • เพราะฉะนั้นการที่เราสั่งให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้าเฝ้า ให้แต่งชุดนักรบถือดาบเข้ามาด้วย ก็เพื่อจะทดสอบใจสหายของเราว่าอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ตามคำพยากรณ์ของอะแซหวุ่นกี้หรือไม่
  • แต่ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไรสหายผู้ซื่อสัตย์ของเรา ก็ไม่ยอมตกปากรับคำที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบอกแต่ว่ามีความสุขแล้ว มีความชื่นใจในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัวแล้วยิ่งไปกว่านั้นยังประกาศว่า
  • “ข้าพระพุทธเจ้าจะขอรักษาราชบัลลังก์ด้วยชีวิตหากมีผู้คิดทรยศต่อพระองค์” เมื่อเราได้ทดลองน้ำใจของสหายจนเป็นที่แน่ใจแล้วจึงพูดแบบเพื่อนว่า
  • “ด้วง ต่อไปเจ้าจงเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนข้านะเจ้าเป็นเพื่อนข้า แล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาก ข้าไว้วางใจเจ้า” เมื่อเราพูดอย่างนี้ สหายของเราก็ยังนิ่งอยู่ในท่าหมอบกราบ เราจึงบอกว่า
  • “ด้วงลุกขึ้นนั่งให้สบาย เงยหน้าขึ้น เวลานี้ไม่มีใคร เราอยู่กันสองคนไม่ต้องเคร่งเรื่องระเบียบประเพณีนักหรอก ข้าก็ถือว่าด้วงเป็นเพื่อนข้า เราเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ต่อไปนี้เจ้าจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินนะ ข้าจะสละราชสมบัติ แต่การที่จะสละราชสมบัติเฉยๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องมีกุศโลบาย เพราะมีเงื่อนไขต่างๆ มากมายที่ต้องทำตาม” 
  • สหายของเราพูดขึ้นว่า “ข้าพระพุทธเจ้ารับไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า เพราะพระองค์ก็มีพระราชโอรสในเมื่อพระองค์จะสละราชสมบัติ ก็ควรให้แก่พระราชโอรส” 
  • เราจึงบอกเขาว่า “ด้วงความจริงลูกชายข้าเขาก็เป็นคนดีนะ มีคนรักเขามาก ทหาร ข้าราชการทั้งหมดก็รักเขา แต่ข้าให้เขาเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้หรอก เพราะว่าบ้านเมืองของเรายังไม่มั่นคงนักเพิ่งกู้ชาติได้ใหม่ๆ ถ้าลูกข้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็จะกลายเป็นหุ่นให้เขาเชิดไป เขาครองเมืองไม่ได้ ด้วงจะต้องครองเมือง เพราะข้าไม่เห็นใครที่มีความเข้มแข็งสามารถรักษาเมืองต่อไปได้ นอกจากเจ้า” 
  • สหายเราแย้งว่า “เวลานี้พระองค์ก็ยังไม่ชราภาพ จึงยังไม่ควรจะสละราชสมบัติพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ แล้วก็ชาวจีนด้วย ถ้าขาดพระองค์เสียข้าพระพุทธเจ้าเถลิงราชเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ความดีก็คงมีไม่ถึงพระองค์ ความเชื่อถือของบุคคลทั่วไปก็จะไม่มีเท่าที่มีในพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าประเทศชาติ อาจจะต้องสลายไปก็ได้”
  • เมื่อสหายของเราพูดมาอย่างนี้ เราจึงต้องเล่าความจริงให้ฟังว่า
“มีต่อตอนที่ ๒"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น